ข่าวทั่วไป

การบริหารการตลาดข้าวหอมไทย

โดย ศ.ดร.อภิชาติ วรรณวิจิตร

 

ประเทศไทยมีมาตรฐานข้าวหอมอยู่ สองส่วน คือ ข้าวหอมมะลิไทย (Thai Hommali Rice) และข้าวหอมไทย (Thai Jasmin Rice) ข้าวหอมมะลิไทย เป็นผลผลิตจากข้าวขาวดอกมะลิ 105 และ กข15 โดยมีลักษณะทางกายภาพ, เคมี และความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์ (DNA test) ที่เข้มงวด ส่วนข้าวหอมไทยเป็นผลผลิตของข้าวหอมที่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิไทย โดยมีข้อกำหนดเรื่อง กายภาพ, เคมี, การหุงต้ม และความบริสุทธิ์ของสายพันธุ์ที่หย่อนกว่า แต่อย่างไรก็ตามมาตรฐานข้าวนุ่มที่ไม่มีกลิ่นหอมยังไม่ได้ถูกกำหนด ในที่สุดข้าวนุ่มไม่หอมจึงถูกนำไปผสมกับข้าวหอมชั้นหนึ่ง ทำให้คุณภาพของข้าวหอมมะลิไทยเสียหาย ในหลายกรณีข้าวพื้นนุ่มที่ไม่มีตลาด ถูกนำไปผสมกับข้าวพื้นแข็ง ทำให้คุณภาพการทำข้าวนึ่ง, เส้นก๋วยเตี๋ยว และขนมจีน ด้อยคุณภาพลง  เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวพื้นนุ่มเจือปนในข้าวชนิดอื่นๆ

รัฐบาลจำเป็นต้องกำหนดมาตรฐานข้าวพื้นนุ่มขึ้นมา และทำตลาดสู่ผู้บริโภคที่ชอบบริโภคข้าวนุ่มทั้งในและต่างประเทศต่อไป เพื่อทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันข้าวไทยในตลาดโลกสูงขึ้น

 

ประเทศไทยกำลังจะเสียแชมป์ข้าวหอมนุ่มให้กับเวียดนาม จริงหรือ ?

นับตั้งแต่ ปี 2559-2562 สถิติการส่งออกข้าวของไทยโดยรวมลดลง 32 % ในขณะที่เวียดนามลดลงเพียง 9 % โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกข้าวหอมจากประเทศไทย (1.1 ล้านตัน) ต่ำกว่าเวียดนาม(1.9 ล้านตัน) จึงทำให้น่าวิตกกังวลว่าอนาคตข้าวหอมไทยคงจะไม่สดใสอย่างแน่นอน มีปัจจัยที่สำคัญ คือ ผลผลิตข้าวหอมไทย (500-600 กก/ไร่) เมื่อเทียบกับข้าวหอมเวียดนาม( >1 ตัน/ไร่) เหตุผลข้อที่สอง คือ  ราคาข้าวหอมไทย (1,190 USD/ตัน) สูงกว่าของเวียดนาม (510 USD/ตัน) เหตุผลข้อที่สาม ข้าวหอมเวียดนามมีอายุสุกแก่สั้นกว่าข้าวหอมไทยมาก ปัจจุบันผู้บริโภคมักนิยมทานข้าวนอกบ้านทำให้ร้านอาหารเป็นลูกค้าที่สำคัญ เพื่อลดต้นทุน ร้านอาหารจึงนิยมสั่งข้าวนุ่มที่ราคาถูกกว่า มาเสริฟลูกค้า

 

การปรับปรุงพันธุ์ข้าวหอมในเวียดนามอยู่ในมือของบริษัทเอกชนที่เมือง SócTrăng ไม่ใช่รัฐบาล ประเทศเวียดนามได้ทุ่มเทการยกระดับผลผลิต ขนาดเมล็ด และคุณสมบัติทางกายภาพที่ยอดเยี่ยม จนทำให้ต้นทุนผลิตต่ำกว่าไทยมาก และในปี 2018 ข้าวพันธุ์ ST24 ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดข้าวโลก ยิ่งสร้างความกังวลใจให้ผู้ส่งออกข้าวหอมมะลิไทยมากขึ้น  เพื่อให้ข้าวหอมนุ่มไทยสามารถขายแข่งกับข้าวหอมเวียดนามได้ จำเป็นต้องยกระดับผลผลิตให้สูงขึ้น หรือ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตในต้นทุนเท่าเดิมให้ได้

 

 

 

 

บทความล่าสุด

ข่าวประชาสัมพันธ์

เว็บไซต์ของเรามีการใช้คุกกี้ เพื่อให้ท่านได้รับการใช้งานเว็บไซต์ที่ดี แสดงผลได้ถูกต้อง หากคุณใช้งานเว็ปไซต์ของเราต่อถือว่าคุณยินยอมให้มีการใช้งานคุกกี้


© RICE SCIENCE CENTER, KASETSART UNIVESITY KAMPHAENG SAEN CAMPUS

เลขที่ 1 หมู่ที่ 6 ตำบล กำแพงแสน อำเภอ กำแพงแสน จังหวัด นครปฐม 73140 ประเทศไทย
ติดต่อแอดมิน anut.su@ku.th


  (+66) 086 479 5603


Free Joomla! templates by AgeThemes